กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ร่วมกับ ม.หอการค้าไทย  ประเมินปัญหาหนี้และความพึงพอใจ...ของประชากรกลุ่มแท็กซี่  ผ่านข้อมูลเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทย

       เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์  โดย  นายวิจักร  อากัปกริยา  รองอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์  และ ผศ.ดร.ธนวรรธน์  พลวิชัย  ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  ร่วมกันแถลงข่าว ประเมินปัญหาหนี้และความพึงพอใจของประชากรกลุ่มแท็กซี่ต่อการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐ  ผ่านข้อมูลเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทย  ณ ห้อง 1201 สภาหอการค้าไทย  ถนนราชบพิธ  เขตพระนคร  กรุงเทพมหานคร
       นายวิจักร  อากัปกริยา  รองอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์  ได้เปิดเผยว่า  ภาพรวมเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทย  แม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ
ในรอบนี้มากนัก  เพราะได้รับแรงหนุนจากทุนของสหกรณ์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง  ทั้งจากการสะสมหุ้นรายเดือน  และการฝากเงินออมสะสมของสมาชิกอย่างสม่ำเสมอ  แต่เมื่อมองไปข้างหน้า  การบริหารสหกรณ์ก็ยังต้องเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัยโดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ   เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทย  ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสหกรณ์ที่มีจำนวน 11 ล้านคนเศษ  คิดเป็นร้อยละ 16.42 ของประชากรทั้งประเทศที่ทำธุรกิจกับสหกรณ์   เงินหมุนเวียนในธุรกิจที่มีมูลค่ากว่า 1.48 ล้านล้านบาท  หรือคิดเป็นร้อยละ 14.77 ของ GDP   รวมทั้งทุนดำเนินการที่มีกว่า 1.31 ล้านล้านบาท  สร้างรายได้กว่า 2.3 แสนล้านบาท  และทำกำไรกว่า 4.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งในภาพรวมสมาชิกของสหกรณ์มีสัดส่วนเงินออมต่อคนมากกว่าหนี้ต่อคน  โดยมีอัตราการขยายตัว
ในเชิงบวกเพิ่มขึ้นทุกด้านตั้งแต่เงินทุน  การลงทุน  ธุรกิจ  และผลประกอบการ
       จากภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยในภาพรวมที่มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น
ในเชิงบวกของสหกรณ์ทุกประเภทรวมไปถึงสหกรณ์แท็กซี่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
และปริมณฑล  ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2551-2553  จาก  27  แห่ง 
เป็น  39  แห่ง  จำนวนสมาชิกจาก 22,498 คน ในปี 2551  เป็น 27,986 คน ในปี 2553   และทุนดำเนินงานจาก  316.11 ล้านบาท  ในปี 2551  เพิ่มขึ้นเป็น 444.71 ล้านบาท 
ในปี 2553   รวมไปถึงวงเงินธุรกิจของสหกรณ์จาก 176.54 ล้านบาท  ในปี 2551 
เป็น  355.86  ล้านบาท  ในปี 2553  สำหรับผลประกอบการของสหกรณ์แท็กซี่
ในปี 2551-2553  พบว่า  มีอัตราเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน  จากรายได้รวม  110.87
ล้านบาท  ในปี 2551  เพิ่มขึ้นเป็น  213.02  ล้านบาท  ในปี 2553 และกำไรสุทธิ 
11.31 ล้านบาท ในปี 2551  เพิ่มขึ้นเป็น 23.83  ในปี 2553   ส่วนอัตราเงินออมและ
หนี้สินเฉลี่ยของสมาชิกในปี 2553  มีอัตราลดลงเมื่อเทียบกับปี 2551  กล่าวคือ  
เงินออมเฉลี่ยปี 2553 เท่ากับ 2,565.19 บาทต่อคน  ลดลงจำนวน 89.50 บาทต่อคน   เมื่อเทียบกับปี 2551 ซึ่งมีจำนวน 2,654.69 บาทต่อคน ในส่วนของหนี้สินเฉลี่ยปี 2553 เท่ากับ 9,565.17 บาทต่อคน  ลดลงจำนวน 234.46 บาทต่อคน  เมื่อเทียบกับปี 2551
ซึ่งมีจำนวน 9,799.63  บาทต่อคน
       รองอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์  ยังกล่าวต่ออีกว่า  จากข้อมูลการเติบโต
ทางเศรษฐกิจของสหกรณ์ดังกล่าว  แม้ว่าการออมเฉลี่ยของสมาชิกสหกรณ์โดยเฉพาะกลุ่มแท็กซี่จะมีอัตราลดลงเนื่องจากค่าครองชีพในปัจจุบันที่ปรับตัวสูงขึ้น  ภาวะหนี้สินเฉลี่ยของสมาชิกสหกรณ์ก็มีอัตราลดลงด้วยเช่นกัน  แสดงให้เห็นถึงสถานภาพ
ความเป็นอยู่ของสมาชิกสหกรณ์ที่ยังสามารถดำรงชีพและมีความเป็นอยู่ที่ดีระดับหนึ่ง
ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน   อย่างไรก็ตาม  ภาคสหกรณ์ยังคงเป็นองค์กรที่มีบทบาท
ที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิต  สะท้อนความเป็นอยู่และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของสมาชิกสหกรณ์  โดยที่ภาครัฐควรให้การสนับสนุนและส่งเสริมสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง 
เจริญก้าวหน้า  อันจะส่งผลต่อความเป็นอยู่และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของมวลสมาชิกสหกรณ์และประชากรของประเทศอย่างยั่งยืน 
       ด้าน ผศ.ดร.ธนวรรธน์  พลวิชัย  ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  ได้เปิดเผยผลการสำรวจทัศนะการแก้ไข
ปัญหาหนี้และการใช้จ่ายของประชากรกลุ่มแท็กซี่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ต่อนโยบายในการแก้ปัญหาของรัฐบาล  ทั้งด้านการประกอบอาชีพ  ปัญหาหนี้นอกระบบ  และค่าครองชีพที่สูงขึ้น  ซึ่งประชากรกลุ่มแท็กซี่ค่อนข้างพอใจต่อการแก้ไขปัญหา
ดังกล่าวของรัฐบาล  โดยให้รัฐบาลดำเนินการและแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง