กรมตรวจบัญชีสหกรณ์เผยแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์
ปีกระต่ายอนาคตสดใส ขยายตัวร้อยละ 24 ในรอบ 3 ปี ส่งผลต่อเนื่องยังเกษตรกรไทยมีเงินออมเพิ่มขึ้นมากกว่าหนี้สินในรอบ 3 ปี
เพิ่มร้อยละ 21 

              

       นายสิงห์ทอง ชินวรรังสี อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจไทย
ในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและราคาสินค้าเกษตรของไทยปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะส่งสัญญาณให้ภาวะเศรษฐกิจในปี 2554 เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมี
แนวโน้มไปในทิศทางบวก โดยเฉพาะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยในรอบ3ปีที่ผ่านมา (2551-2553)มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 มีผลประกอบการในปี 2551 จำนวน
35,397.16 ล้านบาท ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 44,229.67 ล้านบาท และมีมูลค่าธุรกิจรวม
1.4 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.84  โดยคิดเป็นร้อยละ 14.77 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) จากสัญญาณดังกล่าวส่งผลให้มีสมาชิกสหกรณ์ภาคการเกษตรกว่า 6 ล้านคน และสมาชิกนอกภาคเกษตรกว่า 4 ล้านคน นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อการขยายตัวของสหกรณ์ในเชิงบวกอย่างเห็นได้ชัด
       จากตัวเลขบ่งชี้การขยายตัวของภาคสหกรณ์ส่งสัญญาณดีต่อเนื่องไปยังภาพรวมเศรษฐกิจ
ภาคการเกษตร ทำให้เกษตรกรมีเงินออมโดยเฉลี่ยปี 2553 จำนวน 10,542.21 บาทต่อคน โดยเพิ่มขึ้นในรอบ 3 ปี ร้อยละ 21.69  ขณะที่มีหนี้สินเฉลี่ย 13,372.70 บาทต่อคน เมื่อเทียบในรอบ3ปี ลดลงร้อยละ 1.30  จะเห็นได้ว่าเมื่อนำตัวเลขระหว่าเงินออมกับหนี้สินมาเปรียบเทียบกันเกษตรกรไทยมีเงินออมมากกว่าหนี้สิน ตัวเลขดังกล่าวได้ส่งสัญญาณที่ดีว่าเกษตรกรไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีความเชื่อมั่นและมั่นใจต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยและราคาสินค้าเกษตร
      “จากอัตราเงินออมที่เพิ่มขึ้นทำให้เศรษฐกิจภาคการเกษตรมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
และจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ดีไปในทิศทางบวก เนื่องจากเกษตรกร
มีความเชื่อมั่นต่อการบริหารงานของรัฐบาลและการบริหารงานของสหกรณ์”
 
นายสิงห์ทอง กล่าว
       อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าวย้ำอีกว่า แม้ว่าแนวโน้มธุรกิจภาคสหกรณ์จะดำเนิน
มาด้วยดีอย่างต่อเนื่อง แต่สหกรณ์ยังต้องให้ความสำคัญกับระบบการบริหารจัดการ และระบบการควบคุมภายใน โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารงานเพื่อสร้างความโปร่งใส ถูกต้อง แม่นตรง ซึ่งกรมตรวจ-บัญชีสหกรณ์พร้อมให้การสนับสนุนโปรแกรมระบบบัญชีสหกรณ์แบบครบวงจร และโปรแกรมระบบเตือนภัยทางการเงิน เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังทางการเงิน ตลอดจนมีนโยบายขับเคลื่อนการสร้างมูลค่าเพิ่มในสหกรณ์ภาคการเกษตรอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการในปี 2554 เป็นต้นไป น่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เศรษฐกิจภาคสหกรณ์ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าเดิม