กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ร่วมกับ ม.หอการค้าไทย ประเมินผลกระทบการจัดการธุรกิจการเงินสหกรณ์ภาคเกษตรไทยช่วงวิกฤติที่ผ่านมา

 

       เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2553  กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ โดย
นายอนันต์  ภู่สิทธิกุล  อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์  และ
ผศ.ดร.ธนาวรรธน์  พลวิชัย  ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ 
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  ร่วมกันแถลงข่าว  ประเมินผลกระทบการจัดการ
ธุรกิจการเงินสหกรณ์ภาคเกษตรไทยช่วงวิกฤติที่ผ่านมา  ที่ส่งผลต่อความมั่นคง 
และเส้นทางสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจและสังคมของสหกรณ์ภาค
การเกษตรไทย  พร้อมเปิดเผยผลสำรวจทัศนะของสมาชิกสหกรณ์ที่มีต่อ
สถานการณ์ในปัจจุบัน  ณ ห้อง 1201 สภาหอการค้าไทย  ถนนราชบพิธ 
เขตพระนคร  กรุงเทพมหานคร
 
       นายอนันต์  ภู่สิทธิกุล  อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์  เปิดเผยว่า 
จากการประเมินผลกระทบจากภาวะวิกฤติในช่วงที่ผ่านมา  ต่อความมั่นคง
ทางการเงินของสหกรณ์ภาคการเกษตรของไทย  พบว่า ภาพรวมสหกรณ์
ภาคการเกษตรในรอบ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2553 จำแนกตามพื้นที่ทั่วประเทศ 
ปัจจุบันมีจำนวน 4,446 แห่ง  สมาชิก 6.4 ล้านคน ทุนดำเนินงาน 1.3 แสน
ล้านบาท  ลงทุนใน 5 ธุรกิจหลัก คือ การรับฝากเงิน  การให้สินเชื่อ 
การจัดหาสินค้ามาจำหน่าย  การรวบรวม/แปรรูป  และการให้บริการอื่น ๆ
มีมูลค่า 2.2 แสนล้านบาท  เทียบกับปี 2551 เพิ่มขึ้นจำนวน 50,569 ล้านบาท 
หรือร้อยละ 29.48
       เมื่อวิเคราะห์ถึงผลการดำเนินงานสหกรณ์ภาคการเกษตร เฉพาะรอบปีบัญชี
มีนาคม จำนวน 1,913 แห่ง ในปี 2551-2553 มีทุนดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากปี 2551
จำนวน 18,031 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.07  มีวงเงินธุรกิจเพิ่มขึ้น จำนวน
35,331 ล้าน หรือร้อยละ 31.88  จากอัตราชี้วัดเพื่อเตือนภัยทางการเงิน
(Cooperative Financial Surveillance and Warning System หรือ
CFSAWS:ss) ชี้ได้เห็นว่า  สหกรณ์เริ่มให้ความสำคัญในการบริหารค่าใช้จ่าย
ดำเนินงาน และการสำรองเงินทุน ทำให้มีอัตราส่วนที่ดีขึ้น  เมื่อมองผลกระทบ
จากภาวะวิกฤติที่ผ่านมาต่อความมั่นคงทางการเงินในภาพรวม  มีระดับการ
เฝ้าระวังปกติลดลง 49 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 13.07 ในทางตรงข้าม ระดับการ
เฝ้าระวังพิเศษเร่งด่วนเพิ่มขึ้น 50 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 20.75 ประกอบกับ
เมื่อมองถึงเสถียรภาพทางการเงิน  สหกรณ์มีระดับเสถียรภาพทางการเงิน
ตามมาตรฐาน ลดลง 147 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 10.25 ดังนั้น  อาจทำให้
สหกรณ์บางแห่งได้รับผลกระทบจากเสถียรภาพทางการเงินดังกล่าว

       ด้าน  ผศ.ดร.ธนวรรธน์  พลวิชัย  ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์
เศรษฐกิจและธุรกิจ  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  ได้เปิดเผยว่า 
ภาคการเกษตรของไทยในช่วงวิกฤติที่ผ่านยังมีความเข้มแข็ง  แต่ก็มี
ความเปราะบางอยู่พอสมควร  ซึ่งรัฐบาลจะต้องเข้าไปดูแลและถ้าสามารถ
ใช้กลไกในการยกระดับรายได้ให้กับเกษตรกรผ่านสหกรณ์หรือสถาบัน
การเงินของรัฐ  เชื่อมั่นว่าจะสามารถลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความ
เสมอภาคทางสังคมได้เป็นอย่างมาก  ซึ่งจะสอดรับในการสนับสนุน
แผนปรองดองแห่งชาติ และเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล