ธุรกิจการให้สินเชื่อ (กู้ยืม) มีมูลค่าธุรกิจสูงสุด รวม 1.1 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ ธุรกิจ
รับฝากเงิน รวม 4.6 แสนล้านบาท ธุรกิจรวบรวมผลผลิต/แปรรูป รวม 9.7 หมื่นล้านบาท ธุรกิจ
จัดหาสินค้ามาจำหน่าย รวม 6.1 หมื่นล้านบาท และธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร รวม 2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การขยายตัวของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมส่งผลกระทบเชิงบวกทั้งทางตรง
และทางอ้อมต่อการขยายตัวของภาคสหกรณ์ไทย โดยผลทางตรงนั้น ทำให้สหกรณ์ที่ดำเนิน
ธุรกิจรวบรวมและแปรรูปสินค้าเกษตรมีการขยายตัวตามไปด้วย ส่วนผลทางอ้อมนั้นเกิดจาก
การที่เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินกับสหกรณ์ เช่น การฝากเงิน
หรือ การชำระหนี้เงินกู้ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามผลกระทบของธุรกิจในสถานการณ์ปัจจุบันพบว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงที่สามารถ
ทำให้ผลประกอบการธุรกิจของภาคสหกรณ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เช่น ราคาวัตถุดิบ
ราคาน้ำมัน ค่าแรงขั้นต่ำ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มสูง
ขึ้นตามไปด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ดังนั้น ภาคสหกรณ์จึงควรลด
ผลกระทบด้วยการกำหนดแผนรองรับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งหากภาคสหกรณ์สามารถลดต้นทุน
การดำเนินการ การผลิต แต่คงประสิทธิภาพไว้ รวมทั้ง มีการแสวงหาช่องทางการตลาดเพิ่ม
ก็จะทำให้มีรายได้มากขึ้น และส่งผลให้ภาคสหกรณ์มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อไป |