กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เผยภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทย
ไตรมาส 2 พบการดำเนินธุรกิจภาคสหกรณ์ขยายตัวเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.8 โดยเฉพาะธุรกิจการให้สินเชื่อ

         นายสิงห์ทอง  ชินวรรังสี  อธิบดีกรมตรวจ 
  บัญชีสหกรณ์  เปิดเผยว่า  ในปัจจุบันสหกรณ์และ
  กลุ่มเกษตรกรที่ดำเนินธุรกิจมีจำนวนทั้งสิ้น
  10,861 แห่ง  แบ่งเป็นสหกรณ์จำนวน 6,659 แห่ง
  และกลุ่มเกษตรกรจำนวน 4,202 แห่ง  ประกอบ
  ไปด้วยสมาชิกจำนวน 11.4 ล้านคน  ทุนดำเนินงาน
  ทั้งหมด 1.5 ล้านล้านบาท  และมูลค่าธุรกิจรวม
  1.7 ล้านล้านบาท  ทั้งนี้  ในด้านการดำเนินธุรกิจของ
  ภาคสหกรณ์ไทยไตรมาสที่ 2/2554  พบว่า  ธุรกิจ
  ภาคสหกรณ์ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8  โดยเฉพาะ
ธุรกิจการให้สินเชื่อ (กู้ยืม)  มีมูลค่าธุรกิจสูงสุด รวม 1.1 ล้านล้านบาท  รองลงมาคือ ธุรกิจ
รับฝากเงิน รวม 4.6 แสนล้านบาท ธุรกิจรวบรวมผลผลิต/แปรรูป รวม 9.7 หมื่นล้านบาท ธุรกิจ
จัดหาสินค้ามาจำหน่าย รวม 6.1 หมื่นล้านบาท และธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร  รวม 2 หมื่นล้านบาท
        ทั้งนี้  การขยายตัวของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมส่งผลกระทบเชิงบวกทั้งทางตรง
และทางอ้อมต่อการขยายตัวของภาคสหกรณ์ไทย  โดยผลทางตรงนั้น  ทำให้สหกรณ์ที่ดำเนิน
ธุรกิจรวบรวมและแปรรูปสินค้าเกษตรมีการขยายตัวตามไปด้วย  ส่วนผลทางอ้อมนั้นเกิดจาก
การที่เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น  ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินกับสหกรณ์  เช่น  การฝากเงิน
หรือ การชำระหนี้เงินกู้ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 
        อย่างไรก็ตามผลกระทบของธุรกิจในสถานการณ์ปัจจุบันพบว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงที่สามารถ
ทำให้ผลประกอบการธุรกิจของภาคสหกรณ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เช่น ราคาวัตถุดิบ
ราคาน้ำมัน ค่าแรงขั้นต่ำ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มสูง
ขึ้นตามไปด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ดังนั้น ภาคสหกรณ์จึงควรลด
ผลกระทบด้วยการกำหนดแผนรองรับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งหากภาคสหกรณ์สามารถลดต้นทุน
การดำเนินการ การผลิต แต่คงประสิทธิภาพไว้  รวมทั้ง  มีการแสวงหาช่องทางการตลาดเพิ่ม
ก็จะทำให้มีรายได้มากขึ้น และส่งผลให้ภาคสหกรณ์มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อไป