กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ สถาปนาครบรอบ 66 ปี มุ่งมั่นพัฒนาสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้มีระบบบริหารจัดการด้านการเงินการบัญชีที่โปร่งใสและเข้มแข็ง
         นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ "ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” นำไปสู่การพัฒนาให้คนไทยมีความสุข และตอบสนองต่อการบรรลุซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติ โดยบูรณาการการพัฒนาในทุกมิติอย่างสมเหตุสมผล มีความพอประมาณ และมีระบบภูมิคุ้มกันและการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ได้สนองนโยบายโดยกำหนดยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานในการพัฒนาภาคการเกษตรให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งในการแก้ไขจุดอ่อนและเสริมจุดแข็งให้เอื้อต่อการพัฒนาภาคการเกษตรในระยะยาว เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ "เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตร มั่งคั่ง ทรัพยากรการเกษตรยั่งยืน”มีแนวทางไปสู่เป้าหมาย ด้วย 5 ยุทธศาสตร์ คือ    1.สร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร 2.เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตรฐานสินค้า 3.เพิ่มความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม 4.บริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน และ 5. พัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ รวมไปถึงการกำหนดนโยบายของนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมุ่งเน้นให้หน่วยงานในสังกัด บูรณาการการทำงานร่วมกัน ตามวิสัยทัศน์ "มุ่งมั่นพัฒนา เกษตรกรรมก้าวหน้า นำพาสู่ความยั่งยืน”เพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายให้เกษตรกรไทยหลุดพ้นจากความยากจน และมีรายได้มากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาระบบสหกรณ์และวิสาหกิจการเกษตรให้เข้มแข็ง เกษตรกรไทยเข้าสู่ระบบสหกรณ์ทุกครัวเรือน เกิดสังคมและชุมชนเกษตรกรไทยแบบพออยู่ พอเพียง และสามารถผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยและสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้
         อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าวอีกว่า กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้นำแนวทางตามยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาสู่การปฏิบัติ สอดคล้องตามภารกิจหน้าที่ของกรมฯ โดยมุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการเงินการบัญชีแก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินที่กรมฯ ต้องกำกับดูแล จำนวน 2.95 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ของ GDP ประเทศ กรมฯ จึงได้นำระบบบัญชีไปวางรากฐานในการสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้น ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบฐานรากในการพัฒนาสู่การขับเคลื่อนประเทศได้อย่างมั่นคง โดยกรมฯได้ดำเนินการขับเคลื่อนการให้องค์ความรู้ทางบัญชี ควบคู่กับภารกิจหลักด้านการวางระบบบัญชีและตรวจสอบบัญชีสหกรณ์มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการยกระดับสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็งด้วยบัญชี เกษตรกรได้มีความรู้และเข้าใจในการนำระบบบัญชีไปใช้ในการบริหารจัดการภาคการเกษตรได้อย่างเหมาะสม สมดุล และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งให้ประชาชนได้ใช้บัญชีเป็นคู่มือในการดำเนินชีวิตและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้ สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจระดับฐานราก หรือขจัดปัญหาความยากจนระดับบุคคล เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและอยู่ดีมีสุข ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งนับถึงปัจจุบันกรมฯ ได้สอนแนะการทำบัญชีให้กับกลุ่มเป้าหมายแล้ว จำนวนกว่า 7.7 ล้านคน รวมทั้งได้สร้างเครือข่ายครูบัญชีอาสาทั่วประเทศ จำนวน 6,538 คน เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการถ่ายทอดความรู้การจัดทำบัญชีสู่เกษตรกรและคนในชุมชน ก่อเกิดเป็นชุมชนคนทำบัญชี กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยทุกกิจกรรมมีเป้าหมายดำเนินการขยายผลเพิ่มขึ้นในปี 2561 ซึ่งจากการเล็งเห็นความสำคัญของการบันทึกบัญชี กรมสรรพากร ได้จัดทำคู่มือการคิดภาษีอย่างง่าย โดยให้เกษตรกรที่บันทึกบัญชีรับ-จ่ายในครัวเรือนและบัญชีต้นทุนประกอบอาชีพของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ สามารถใช้บัญชีเป็นหลักฐานในการคิดคำนวณภาษี เพื่อยื่นต่อกรมสรรพากรได้อีกด้วย
        นอกจากนี้ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ยังได้ดำเนินงานด้านการสร้างความเข้มแข็งสู่สหกรณ์ ซึ่งในปัจจุบันการประกอบธุรกรรมของสหกรณ์ต่างๆ มีความซับซ้อนมากกว่าในอดีต กรมฯ จึงได้มีการวางระบบบัญชีสหกรณ์ ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ รวมถึงการส่งเสริมและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบัญชีสู่สหกรณ์ สมาชิกสหกรณ์ เกษตรกร และประชาชนทั่วไป โดยดำเนินงานควบคู่กับการพัฒนางานระบบบัญชีและกลไกที่จะส่งเสริมระบบบัญชีให้มีความทันสมัย และเท่าทันกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ รู้เท่าทันเทคโนโลยีและการดำเนินธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ และปรับโครงสร้างบุคลากรของกรมฯ ให้สามารถรองรับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและแตกต่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสนับสนุนผู้สอบบัญชีให้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้สอบบัญชีได้รับอนุญาต เพื่อพัฒนาผู้สอบบัญชีสู่ผู้สอบบัญชีมืออาชีพ (CAD-CPA) การปรับโครงสร้างองค์กรรองรับการทำงานแบบบูรณาการกับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พัฒนางานระบบบัญชีด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ มาเป็นเครื่องมือเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงินของสหกรณ์ และการวางกลยุทธ์ในการสร้างมาตรฐานจริยธรรมด้านการเงินการบัญชีแก่ผู้บริหารสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์มีผู้บริหารที่มีความเป็นมืออาชีพ สามารถรับมือกับภาวะความเสี่ยงในการบริหารการเงิน ความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากระบบสหกรณ์ เป็นต้น
         "ภารกิจของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ถือว่าเป็นส่วนสนับสนุนในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบบริหารจัดการด้านการเงินการบัญชีของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรของประเทศ ให้เกิดความโปร่งใส เข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ อีกทั้งยังเป็นกำลังสำคัญในการสร้างบุคลากรในขบวนการสหกรณ์ให้เป็นนักบริหารงานบัญชีสหกรณ์สู่ความเป็นมืออาชีพ ในโอกาสครบรอบการสถาปนา 66 ปี กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จะยังคงรักษามาตรฐานและคุณภาพการทำงานอย่างเข้มแข็ง เพื่อเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาสหกรณ์ไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน รวมทั้งเกษตรกรและประชาชน มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนและหลุดพ้นจากความยากจน” อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าว.