"สมบัติ ขุนทอง” เกษตรกรดีเด่น จ.สระบุรี นำบัญชีบริหารจัดการชีวิต
   ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ในครัวเรือน
 
          ในการพัฒนาภาคการเกษตรให้เข้มแข็ง เกษตรกรจำเป็นจะต้องมีการบริหารจัดการการเกษตรอย่างเป็นระบบ ซึ่งการจดบันทึกบัญชี เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่สามารถใช้วัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งเรื่องการลดต้นทุนผลิตทางการเกษตร การเพิ่มรายได้ การปรับเปลี่ยนอาชีพและการวางแผนการผลิต และการตลาด รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเกษตรกร อีกทั้งสามารถวางแผนการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทำให้รู้จักความพอมีพอกิน พอใช้ พัฒนาการดำเนินชีวิตของตนเองได้อย่างมีความสุข ตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง
            "สมบัติ ขุนทอง” เกษตรกรดีเด่น สาขาบัญชีฟาร์ม จ.สระบุรี เป็นแบบอย่างของเกษตรกรที่นำบัญชีใช้นำทางชีวิต จนประสบความสำเร็จและยังถ่ายทอดองค์ความรู้ทางบัญชีที่ได้รับ ขยายผลสู่ชุมชนให้ปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต โดยยึดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง จากแรกเริ่มที่มีความคิดว่า การจัดทำบัญชีครัวเรือนเป็นเรื่องไม่สำคัญและไม่จำเป็น แต่เมื่อมีโอกาสได้เข้ารับการอบรมการจัดทำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพ จากสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์สระบุรี กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ทำให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการจัดทำบัญชีเพิ่มมากขึ้น เห็นถึง รายรับ-รายจ่าย ต้นทุนอาชีพของตนว่าเป็นอย่างไร จึงปรับเปลี่ยนทัศนคติ เริ่มจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายแบบง่ายๆ และนำผลการจัดทำบัญชีแต่ละปีมาวิเคราะห์หาวิธีลดต้นทุนในการผลิต ลด ละ เลิก สิ่งฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะอบายมุขต่างๆ
           จากการนำข้อมูลทางบัญชีมาช่วยวิเคราะห์ ทำให้สามารถลดต้นทุนการทำนา โดยคิดวิธีปรับปรุงบำรุงดิน เช่น ปลูกพืชตระกูลถั่ว ไม่เผาตอซังในนาข้าว ทำปุ๋ยหมัก คิดค้นจุลินทรีย์ใช้เอง เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการประกอบอาชีพ ผลที่ได้คือ ทำให้ดินมีคุณภาพอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม และมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เมื่อเห็นว่าการจัดทำบัญชีมีประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว จึงอยากให้คนในชุมชนได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องจัดทำบัญชีฟาร์ม ตลอดจนเยาวชนได้ทำบัญชีครัวเรือน จึงได้ร่วมมือกับสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์สระบุรี สร้างเครือข่ายครูบัญชีขึ้น เผยแพร่ความรู้ให้กับผู้สนใจในการประกอบอาชีพตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยเน้นเรื่องการจัดทำบัญชีครัวเรือนให้กับเกษตรกรในชุมชนกลุ่มเป้าหมาย 30 ครัวเรือนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียงบ้านหนองจิก และเป็นวิทยากรให้กับนักศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของอำเภอแก่งคอย ณ ศูนย์การเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงบ้านนาดี (บ้านนายสมาน ยะธาตุ) และทำหน้าที่เป็นครูบัญชีอาสา ถ่ายทอดความรู้การจัดทำบัญชีให้กับคนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เช่น เตาถ่านพลังงานหรือเตาเศรษฐกิจพอเพียง
             ปัจจุบันสมบัติ เป็นข้าราชการครูบำนาญและทำการเกษตรแบบผสมผสาน ที่บ้านหนองจิก หมู่ที่ 2 ตำบลห้วยแห้ง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ในเนื้อที่ 25 ไร่ ประกอบด้วยการทำนาปี โดยอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ทำสวนมะกรูด มะนาว มะม่วง ตระไคร้ แฝก เลี้ยงไก่พื้นเมือง เลี้ยงปลาดุกในบ่อดินและบ่อซีเมนต์ไว้บริโภคในครัวเรือน ส่วนที่เหลือขายเป็นรายได้ของครอบครัว ซึ่งทุกอย่างที่ปลูกปลอดสารเคมี ส่วนของเสียจากการเกษตรก็นำกลับมาใช้เป็นปุ๋ยหมักแทนปุ๋ยเคมีทำให้มีรายได้ มีชีวิตที่ดีขึ้น และมีการเก็บออมอยู่เป็นประจำ ซึ่งจากผลงานความสำเร็จนี้ ทำให้ครูสมบัติ ได้รับคัดเลือกเป็นครูบัญชีดีเด่นระดับจังหวัดปี 2555 และเป็นเกษตรกรดีเด่น สาขาบัญชีฟาร์ม จังหวัดสระบุรี ปี 2560 อีกด้วย
            "การประกอบอาชีพเกษตรกรรมนั้น จะมีเศษวัสดุเหลือใช้มากมาย ถ้าเรารู้จักนำเศษวัสดุเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า เช่น เศษฟางข้าว ใบไม้ และเศษวัชพืชต่างๆ ในที่นา ที่ไร่ ที่สวน ก็นำมาทำปุ๋ยหมัก ไม่ทำลายด้วยการเผาทิ้ง ส่งที่เราจะได้คือปุ๋ยหมัก ทำให้ดินดีมีแร่ธาตุมากมาย ก็เป็นการลดต้นทุนในการประกอบอาชีพ คุณภาพดินก็ดีขึ้นด้วย สิ่งที่ตามมาก็คือ เราได้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน” สมบัติ กล่าว
             การจดบันทึกบัญชี จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เกษตรกรสามารถใช้เป็นข้อมูลในการบริหารจัดการการเกษตร สู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน.