"เสวียน อินทวี”เกษตรกรรุ่นใหม่ พลิกชีวิตด้วยการทำเกษตรอินทรีย์
สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ ช่วยลดต้นทุนการผลิต แก้ปัญหาความยากจน
อย่างยั่งยืน
 
      กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรกรสู่การเป็นSmart Farmer ตามทิศทางการพัฒนาประเทศสู่ยุค Thailand 4.0 คือพัฒนาตนเองจากเกษตรกรแบบดั้งเดิม เป็นเกษตรกรยุคใหม่ ที่เป็นเกษตรกรแบบผู้ประกอบการได้ มีความสามารถในการใช้ข้อมูลทางบัญชีเพื่อการบริหารจัดการธุรกิจของตนเองตั้งแต่การผลิตจนถึงการตลาด โดยนำข้อมูลทางบัญชีไปใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ หาแนวทางการลดต้นทุนการผลิต ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และมีเงินออม อีกทั้งมีการดำเนินกิจกรรมในแปลงตามความเหมาะสมกับพื้นที่
      เสวียน อินทวี เกษตรกรดีเด่น สาขาบัญชีฟาร์ม จังหวัดเชียงราย ประจำปี 2560 เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของเกษตรกรยุคใหม่ที่พัฒนาตนเองสู่การเป็นเกษตรกรแบบผู้ประกอบการ มีการสร้างสรรค์นวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ทางการเกษตร เพื่อใช้ลดต้นทุนผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก่อนจะมาทำอาชีพเกษตรกรอย่างเต็มตัว เสวียน เคยเป็นพนักงานบริษัทให้บริการรถยกโฟล์คลิฟท์ในกรุงเทพมหานคร เป็นเวลา 19 ปี จนกระทั่งครั้งหนึ่งบริษัทพาไปศึกษาดูงาน ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำการเกษตรตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผันชีวิตจากมนุษย์เงินเดือนมาเป็นเกษตรกรที่ บ้านเกิดในจังหวัดเชียงราย โดยใช้เงินสะสมที่ได้จากการทำงานกว่า 4 แสนบาท เริ่มทำการเกษตรแบบผสมผสาน ทำนาข้าวแบบอินทรีย์ เลี้ยงวัว เลี้ยงปลา และปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล รวมทั้งหารายได้เสริมจากการทำซังเผาถ่านและให้บริการรับซ่อมเครื่องใช้
ไฟฟ้าและอุปกรณ์การเกษตรของชาวบ้านในราคาถูก
        จากการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมให้เกษตรกรในชุมชนปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ และโครงการโรงเรียนชาวนา ทำให้ได้รับองค์ความรู้ในการทำเกษตรอินทรีย์แบบไม่พึ่งสารเคมี ทำการเกษตรแบบผสมผสาน ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก รวมถึงการได้รับความรู้ในการจัดทำบัญชีจากสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์เชียงราย กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ทำให้สามารถจดบันทึกบัญชีรับ-จ่ายในครัวเรือนและบัญชีต้นทุนประกอบอาชีพ และวิเคราะห์วางแผนแนวทางในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพเกษตรได้ ปัจจุบันยังได้ทำการเกษตรแบบทฤษฎีใหม่ ทำการเกษตรแบบอินทรีย์ ทำนาข้าวไรซ์เบอรี่แบบอินทรีย์ ทำฮอร์โมนและน้ำหมักใช้เอง และใช้บัญชีเป็นเครื่องมือชี้แนวทางในการประกอบอาชีพ จดทุกอย่างจากการประกอบอาชีพ และก่อตั้งศูนย์    เรียนรู้เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ทางการเกษตรและมีการสอนบัญชีให้กับผู้ที่เข้ามาศึกษาดูงานด้วยทุกครั้ง ซึ่งจากความรู้ติดตัวที่ได้จากการศึกษา ในระดับ ปวช.สาขาช่างการไฟฟ้า เสวียน ยังได้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์เพื่อใช้เป็นเครื่องทุ่นแรงในการทำการเกษตร สามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างดีอีกด้วย
        "ด้วยสภาพพื้นที่ในอำเภอที่เหมาะแก่การปลูกข้าว จึงแบ่งพื้นที่ไว้ทำนาเกือบ 8 ไร่ พื้นที่ที่เหลือก็ทำการเกษตรแบบผสมผสาน เริ่มต้นลองผิด ลองถูก จนเห็นว่าการทำการเกษตรแบบอินทรีย์ โดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี เป็นสิ่งที่ทำแล้วได้ผลและมีประโยชน์ และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ เราไม่พึ่งพาสารเคมี พึ่งพาตนเองมากกว่าตลาด ก็จะได้กำไรมากกว่าขาดทุน ทุกวันนี้ชาวบ้านยังพึ่งตลาด อีกอย่างหนึ่งคือ บัตรเครดิตเกษตรกร รูดเอาเงินอนาคตมาใช้ก่อน คิดแต่การลงทุนแต่ไม่คิดว่าผลผลิตได้เท่าไหร่ เราจึงนำองค์ความรู้ที่มีมาสอนต่อ สอนให้ชาวบ้านปลูกข้าวอินทรีย์ ปรับเปลี่ยนไปทำนาแบบ GAP โดยใช้ข้อมูลจากการจดบันทึกบัญชีมาวิเคราะห์วางแผนการผลิตให้ได้ต้นทุนต่ำแต่ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ” เสวียน กล่าว
       จึงเป็นแบบอย่างของเกษตรกรที่มีความรู้ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมทางการเกษตรด้วยการใช้ข้อมูลทางบัญชีในการวางแผน ลดต้นทุนการผลิตและยกระดับมาตรฐานสินค้าเป็นสินค้าเกษตรปลอดภัย น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงโดยใช้บัญชีเป็นเครื่องมือบ่งชี้ มีภูมิคุ้มกันด้วยบัญชี ปรับเปลี่ยนแนวคิดและรูปแบบในการประกอบอาชีพสู่การพึ่งพาตนเองได้อย่างได้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นครูบัญชีอาสา ถ่ายทอดความรู้และส่งเสริมการทำบัญชีสู่ชุมชน เพื่อให้มีความรู้และเข้าใจในการนำระบบบัญชีไปใช้ในการบริหารจัดการภาคการเกษตรได้อย่างเหมาะสม สมดุล และเกิดประสิทธิภาพ เกิดความเข้มแข็ง และพึ่งพาตนเองได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน.